9 ความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อ

ความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อ
สินเชื่อ หมายถึง อำนาจในการเข้าถึงการใช้สินค้าและบริการ โดยสัญญาว่าจะชดใช้คืนในอนาคต โดยสินเชื่ออาจอยู่ในรูปของสินค้าและบริการ หรือในรูปของเงินก็ได้ เนื่องจากในทางเศรษฐศาสตร์มองว่าหน่วยเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจนั้นอาจมีลักษณะการใช้ทรัพยากรที่ไม่สมดุลกัน บางหน่วยเศรษฐกิจอาจมีความต้องการใช้สินค้าและบริการมากกว่าทรัพยากรที่ตนมีอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่บางหน่วยเศรษฐกิจอาจมีทรัพยากรเหลือใช้เกินความต้องการ หากมีการโอนทรัพยากรส่วนที่เหลือใช้ไปให้ผู้ที่มีความต้องการใช้ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ ทางกฎหมายเรียกหน่วยเศรษฐกิจที่เป็นผู้รับทรัพยากรนั้นว่าลูกหนี้ และเรียกหน่วยเศรษฐกิจที่เป็นผู้ให้ยืมทรัพยากรนั้นว่าเป็นเจ้าหนี้หรือผู้ให้สินเชื่อ
สินเชื่อมีส่วนทำให้อุปสงค์มวลรวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ สมมติกรณีเศรษฐกิจแบบปิด หากปัจจัยการผลิตได้รับรายได้จากการผลิต ส่วนหนึ่งนำไปใช้จ่ายเพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เกิดการผลิตและรายได้แก่ปัจจัยการผลิตต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่เงินอีกส่วนหนึ่งกลายเป็นเงินออมซึ่งเป็นส่วนรั่วไหลออกจากระบบ เนื่องจากไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่าย หากเป็นเช่นนี้ในที่สุด รายได้หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมก็จะลดลง เพราะมีแต่ส่วนรั่วไหลออกจากเศรษฐกิจ ภาคสินเชื่อจึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยอัดฉีดเงินเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบผ่านตลาดสินเชื่อ ซึ่งเป็นการนำเงินออมกลับออกมาใช้จ่ายใหม่ โดยอาจอยู่ในรูปของการให้กู้แก่รัฐบาลผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือการให้สินเชื่อแก่ประชาชน
เรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากสมมติให้ปัจจัยอื่นคงที่ สินเชื่อในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มอุปสงค์มวลรวม ทำให้เกิดแรงกดดันต่อราคาเพิ่มขึ้นหรือเกิดเงินเฟ้อได้ แต่หากเป็นการให้สินเชื่อเพื่อนำไปลงทุนในการผลิตซึ่งมีผลิตภาพ (Productivity) สูง อาจทำให้อุปทานมวลรวมเกิดการขยายตัวสอดรับกับอุปสงค์มวลรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลให้ภาวะเงินเฟ้อไม่เกิดขึ้น หรืออาจถึงขั้นเกิดภาวะเงินฝืดก็เป็นได้
ประเภทของสินเชื่อ
1. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามระยะเวลา
1.1 สินเชื่อระยะสั้น คือ สินเชื่อที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อการค้า เครื่องมือสินเชื่อประเภทนี้ เช่น ตั๋วเงินคลัง(Treasury Bills) และตราสารพาณิชย์ (Commercial Papers) เป็นต้น
1.2 สินเชื่อระยะกลาง คือ สินเชื่อที่มีอายุระหว่าง 1-5 ปี เช่น การผ่อนส่งการซื้อสินค้าคงทน เป็นต้น
1.3 สินเชื่อระยะยาว คือ สินเชื่อที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป โดยทั่วไปเป็นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ใช้เงินจำนวนมาก หรือเป็นการบริโภคสินค้าคงทนที่มีมูลค่าสูงมากเช่น บ้านและที่ดิน เป็นต้น
2. การแบ่งประเภทของสินเชื่อตามวัตถุประสงค์
2.1 สินเชื่อเพื่อการบริโภค หมายถึง สินเชื่อที่ให้กับบุคคล เพื่อประโยชน์ในการนำมาบริโภค สินเชื่อประเภทนี้อาจเกิดขึ้นในหลายรูปแบบเช่น การเปิดบัญชีไว้กับร้านอาหาร เมื่อถึงสิ้นเดือนจึงชำระครั้งเดียว การผ่อนส่งจากการซื้อสินค้าโดยเฉพาะสินค้าคงทน เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ รถยนต์ เป็นต้น นอกจากนี้สินเชื่อจากบัตรเครดิตก็เป็นสินเชื่อเพื่อการบริโภคเช่นกัน
2.2 สินเชื่อเพื่อการลงทุน อาจเป็นสินเชื่อเพื่อการจัดหาปัจจัยการผลิตหรือสินทรัพย์ถาวรต่าง ๆ เพื่อใช้ในการดำเนินการผลิตไม่ว่าจะเป็นในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการบริการ สินเชื่อประเภทนี้มักเป็นสินเชื่อระยะยาวอาจอยู่ในรูปของการออกหุ้นกู้ หรือสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
2.3 สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์หรือสินเชื่อการค้า โดยทั่วไปเป็นสินเชื่อเพื่อการซื้อขายสินค้าประเภทวัตถุดิบ หรือการซื้อสินค้ามาจำหน่ายต่อ เป็นการรับสินค้ามาก่อน แล้วค่อยชำระค่าสินค้าภายหลังโดยทั่วไปจะเป็นสินเชื่อระยะสั้น เช่น 30-60 วัน เป็นสินเชื่อที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้แก่การทำธุรกิจ ทั้งนี้รวมไปถึงการออก Letter of Credit เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงในการชำระค่าสินค้าจากการซื้อขายระหว่างประเทศด้วย
3. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามผู้ขอรับสินเชื่อ
3.1 สินเชื่อสำหรับบุคคล มักเป็นสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น
3.2 สินเชื่อสำหรับธุรกิจ เป็นสินเชื่อสำหรับกิจการห้างร้านไม่ว่าจะนำไปใช้เพื่อลงทุนเพื่อการผลิตหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
3.3 สินเชื่อสำหรับรัฐบาล ในยามที่รัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอแก่รายจ่ายหน่วยงานภาครัฐจึงมีความจำเป็นต้องกู้เงินซึ่งอาจอยู่ในรูปของตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และพันธบัตรรัฐบาลรูปแบบต่าง ๆ เช่น พันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นต้น
4. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามผู้ให้สินเชื่อ
4.1 บุคคลเป็นผู้ให้ เช่น การให้กู้ยืมในหมู่คนรู้จัก ญาติพี่น้อง หรือการปล่อยกู้นอกระบบ เป็นต้น
4.2 สถาบันการเงินเป็นผู้ให้ ซึ่งสถาบันการเงินก็มีหลายประเภทและอาจตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น เงื่อนไขและประเภทของวัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อก็อาจแตกต่างกันไป สถาบันการเงินเหล่านี้ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามและสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นต้น
4.3 หน่วยงานอื่น ๆ เป็นผู้ให้ เช่น มูลนิธิ องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร หน่วยงานการกุศล และกองทุนต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน เป็นต้น
5. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามหลักประกัน
5.1 สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สินเชื่อประเภทนี้อาศัยความน่าเชื่อถือ เที่ยงตรง และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้เป็นเครื่องพิจารณาการให้สินเชื่อ สินเชื่อประเภทนี้จึงมีความเสี่ยงสูงเพราะไม่มีหลักประกันให้แก่ผู้ให้กู้ในกรณีที่เกิดการผิดสัญญาขึ้น
5.2 สินเชื่อที่มีหลักประกัน สินเชื่อประเภทนี้มีความเสียงต่ำกว่าเนื่องจากผู้กู้มีหลักประกันแก่ผู้ให้กู้เพื่อชดใช้ความเสียหายหากเกิดการผิดสัญญาขึ้น โดยหลักประกันดังกล่าวอาจอยู่ในรูปของอสังหาริมทรัพย์ เช่น การจำนองที่ดิน สังหาริมทรัพย์ เช่น พันธบัตร ทองคำ หรืออยู่ในรูปของการค้ำประกันจากบุคคลหรือสถาบันการเงิน (อาวัล) ก็ได้
การแบ่งประเภทสินเชื่อตามผู้ขอรับสินเชื่อ
1 สินเชื่อสำหรับบุคคล มักเป็นสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น
2 สินเชื่อสำหรับธุรกิจ เป็นสินเชื่อสำหรับกิจการห้างร้านไม่ว่าจะนำไปใช้เพื่อลงทุน, เพื่อการผลิต หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
3 สินเชื่อสำหรับรัฐบาล ในยามที่รัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอแก่รายจ่ายหน่วยงานภาครัฐ จึงมีความจำเป็นต้องกู้เงินซึ่งอาจอยู่ในรูปของตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และพันธบัตรรัฐบาลรูปแบบต่าง ๆ เช่น พันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นต้น
การแบ่งประเภทสินเชื่อตามผู้ให้สินเชื่อ
1 บุคคลเป็นผู้ให้ เช่น การให้กู้ยืมในหมู่คนรู้จัก, ญาติพี่น้อง หรือการปล่อยกู้นอกระบบ เป็นต้น
2 สถาบันการเงินเป็นผู้ให้ ซึ่งสถาบันการเงินก็มีหลายประเภทและอาจตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น เงื่อนไขและประเภทของวัตถุประสงค์ของการให้สินเชื่อก็อาจแตกต่างกันไป สถาบันการเงินเหล่านี้ ยกตัวอย่าง เช่น ธนาคารพาณิชย์, ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, ธนาคารอิสลามและสหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นต้น
3 หน่วยงานอื่น ๆ เป็นผู้ให้ เช่น มูลนิธิองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร, หน่วยงานการกุศล และกองทุนต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน เป็นต้น
การแบ่งประเภทสินเชื่อตามหลักประกัน
1 สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สินเชื่อประเภทนี้อาศัยความน่าเชื่อถือ, เที่ยงตรง และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้เป็นเครื่องพิจารณา สินเชื่อประเภทนี้จึงมีความเสี่ยงสูงเพราะไม่มีหลักประกันให้แก่ผู้ให้กู้ในกรณีที่เกิดการผิดสัญญาขึ้น
2 สินเชื่อที่มีหลักประกัน สินเชื่อประเภทนี้มีความเสียงต่ำกว่าเนื่องจากผู้กู้มีหลักประกันแก่ผู้ให้กู้เพื่อชดใช้ความเสียหายหากเกิดการผิดสัญญาขึ้น โดยหลักประกันดังกล่าวอาจอยู่ในรูปของอสังหาริมทรัพย์ เช่น การจำนองที่ดิน, สังหาริมทรัพย์ เช่น พันธบัตร, ทองคำ หรืออยู่ในรูปของการค้ำประกันจากบุคคลหรือสถาบันการเงินก็ได้
การเขียนแผนธุรกิจ เพื่อขอสินเชื่อ
ในการเขียนโครงการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินนั้น หลักการเขียนส่วนใหญ่จะเหมือนกัน แต่จะมี รายละเอียดการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกันตามประเภทธุรกิจ ซึ่งสถาบันการเงินต่าง ๆ มักจะแบ่งกลุ่มลูกค้า ออกตามประเภทของธุรกิจที่ลูกค้าประกอบกิจการอยู่ ส่วนใหญ่จะแบ่งออกดังนี้
1. ประเภทธุรกิจอุตสาหกรรม หมายถึง การดำเนินกิจการที่เปลี่ยนสภาพวัตถุดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์ ด้วยมือ หรือเครื่องจักร หรือเคมีภัณฑ์ ตลอดจนการดำเนินงานเกี่ยวกับการประกอบชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น ทั้งนี้รวมถึงธุรกิจอุตสาหกรรมเหมืองแร่ด้วย
2. ประเภทธุรกิจก่อสร้างและขนส่ง จะประกอบด้วย ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจจัดสรรที่อยู่อาศัย รวมถึงธุรกิจที่มีการประมูลทางสร้างถนน เขื่อน เป็นต้น
3. ประเภทธุรกิจสั่งสินค้าเข้า หมายถึง การประกอบกิจการหลักที่เป็นการสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศ รวมทั้งการเป็นตัวแทนและนายหน้านำสินค้าเข้า อาทิเช่น กิจการนำเข้าเคมีภัณฑ์กิจการนำเข้าอาวุธสงคราม จำหน่ายให้หน่วยราชการ เป็นต้น
4. ประเภทธุรกิจส่งสินค้าออก หมายถึง การประกอบกิจการหลักเพื่อการส่งสินค้าออกไปจำหน่าย ต่างประเทศ รวมทั้งเป็นตัวแทน และนายหน้าส่งสินค้าออกไปจำหน่ายต่างประเทศ อาทิเช่น บริษัทเทรดดิ้งคอมปานี กิจการส่งออกพืชไร่ เป็นต้น
5. ประเภทธุรกิจการเกษตร หมายถึงการประกอบกิจการเกี่ยวกับการเกษตร ทั้งการประมง กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ทั้งในรูปนิติบุคคลและกลุ่มเกษตรกร สามารถแบ่งได้ดังนี้
5.1 เกษตรกร หมายถึง ผู้ประกอบอาชีพทางการเกษตร คือ กสิกรรม ประมง และการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ เกษตรกร กลุ่มเกษตรสหกรณ์ ที่มีสมาชิกเป็นเกษตรกร และรวมทั้งบุคคลหรือ
นิติบุคคล
5.2 ธุรกิจการเกษตร หมายถึง ผู้ประกอบกิจการเกษตรในส่วนที่เป็นปัจจัยที่ใช้ในการผลิตการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร
ปัจจัยที่ใช้ในการผลิตทางการเกษตร หมายถึง ธุรกิจที่ทำการผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อเป็นปัจจัย
ทั้งทางตรงและใกล้ชิดต่อการผลิตทางการเกษตร อาทิเช่น การผลิตรถไถนา การผลิตปุ๋ย การรับจ้างเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตร ฯลฯ
อุตสาหกรรมเกษตร หมายถึง อุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตเบื้องต้นที่เกิดจากผลิตผลทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบในการผลิต เป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด เช่น โรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล
โรงงานทำวุ้นเส้น ฯลฯ
6. ประเภทธุรกิจทั่วไป จะประกอบด้วยประเภทธุรกิจค้าส่ง ค้าส่งที่ซื้อจากเกษตรโดยตรง ค้าปลีก สถาบันที่ไม่แสวงหากำไร การเงิน ธุรกิจบริการ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และอื่น ๆ
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ในแต่ละประเภทและแต่ละขนาด จะใช้วงเงิน
สินเชื่อไม่เหมือนกันทีเดียว ถ้าหากเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดกลางมักจะใช้วงเงินสินเชื่อพื้นฐานไม่กี่อย่าง แต่ถ้าหากเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มักจะใช้สินเชื่อเกือบทุกประเภทที่ธนาคารมีอยู่ นอกจากนี้ตัวธุรกิจบางครั้งยังก้ำกึ่งกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ เช่น ธุรกิจส่งออกหรือธุรกิจนำเข้า เป็นต้น
กล่าวโดยภาพรวมแล้ว ต่อไปเราจะต้องพร้อมที่จะเขียน การเขียนไม่ว่าจะเขียนอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หนักใจ สำหรับผู้ที่ไม่เคยเขียน จึงขอเสนอวิธีเขียนแบบง่าย ๆ ให้นำไปใช้ได้จริง โดยขอยกตัวอย่างการเขียนโครงการขอกู้เงินของธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถนำไปเป็นตัวอย่างสำหรับธุรกิจของท่านได้
หัวข้อที่ใช้ในการเขียนโครงการขอกู้เงิน
1. หนังสือเสนอขอกู้เงินกับสถาบันการเงิน
2. บทสรุปผู้บริหาร
· เป็นการสรุปจากแผนต่าง ๆ ทั้งด้านการตลาด การจัดการ การผลิต และการเงิน เพื่อให้ทราบถึงพันธกิจขององค์กร วัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร พร้อมทั้งแผนที่จะไปสู่เป้าหมายอย่าง ย่อ ๆ ควรจะเขียนเป็นลำดับสุดท้ายโดยสรุปย่อ มีเนื้อหาที่กระชับ มีประเด็นสำคัญครบถ้วน
3. ภาพรวมของกิจการ
3.1 ประวัติความเป็นมาของกิจการ เป็นการกล่าวถึงแนวความคิดและความเป็นมาของกิจการว่าเกิดได้อย่างไร อะไรคือเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ
3.2 สถานที่ตั้งเป็นที่ตั้งของกิจการ หรือโรงงาน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อได้สะดวก
3.3 ผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร/ประสบการณ์ของผู้บริหาร มีใครบ้างเป็นผู้ร่วมทุน จำนวนเงินลงทุน ความสามารถ และความชำนาญงานของแต่ละคน
3.4 การแสดงโครงสร้างองค์กรและผังบริหารองค์กร (ถ้ามี)
3.5 ผลการดำเนินงานในอดีต (ถ้ามี)
4. วัตถุประสงค์ที่จะขอสินเชื่อ
4.1 วงเงินสินเชื่อที่ต้องการ โดยแยกเป็นประเภทของสินเชื่อ เช่น เงินกู้ เงินทุนหมุนเวียน (O/D)
4.2 จะนำสินเชื่อที่ขอครั้งนี้ไปทำอะไร เช่น เพื่อซื้อที่ดิน ปรับปรุงอาคารสถานที่ ก่อสร้างอาคาร ซื้อเครื่องจักร
4.3 เงื่อนไขที่ต้องการมีอะไรบ้าง เช่น ระยะเวลาการชำระคืน อัตราดอกเบี้ย
4.4 หลักประกันที่เสนอรายละเอียดหลักประกัน มูลค่าหลักประกัน
5. ลักษณะและโครงสร้างธุรกิจ
5.1 สินค้าและบริการมีอะไรบ้าง
5.2 การตลาด การจำหน่ายในประเทศ ต่างจังหวัดหรือกรุงเทพฯ เป็นสัดส่วนเท่าใด ระยะเวลาการให้เครดิตกี่วัน หรือถ้าเป็นการจำหน่ายต่างประเทศ กลุ่มประเทศแถบใด วิธีการจำหน่ายโดยการให้ลูกค้าเปิด L/C หรือ Open Account ระยะเวลาการให้เครดิตกี่วัน
5.3 ตลาดเป้าหมายที่ต้องการขยายเพิ่มขึ้น
· กลุ่มลูกค้า
· ขนาดของตลาด ความต้องการ ภาวะการผลิต
· ตำแหน่งทางการตลาด
· กลยุทธ์และแผนการตลาด
5.4 การวิเคราะห์อุตสาหกรรม
5.5 คู่แข่งขัน
6. ลักษณะของโรงงานและแผนการผลิต
6.1 ที่ตั้ง เนื้อที่ดิน ผู้ถือกรรมสิทธิ์
6.2 การวางผังโรงงาน นอกอาคาร/ในอาคาร
6.3 เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิต ประสิทธิภาพเครื่องจักร เก่า-ใหม่ แหล่งผลิต
6.4 อาคาร สิ่งก่อสร้าง และสำนักงาน ขนาดเนื้อที่ ถาวร--ชั่วคราว เก่า-ใหม่
6.5 ผังการบริหารในการผลิต
6.6 แผนการดำเนินการ
6.7 กำลังการผลิต ปัจจุบันผลิตเต็มกำลังการผลิตหรือยัง
6.8 เทคนิคการผลิตได้มาจากไหน /กรรมวิธีในการผลิต
6.9 แรงงานมีจำนวนเท่าใด โครงสร้างแรงงาน มีสหภาพแรงงานหรือไม่
7. ข้อมูลทางการเงิน
เพื่อศึกษางบทางการเงินต่าง ๆ ดูผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและน่าจะมีความเป็นไปได้ในอนาคตข้อมูลทางการเงินจะต้องใช้ความระมัดระวังในการประมาณการให้สอดคล้องกับการขอวงเงินสินเชื่อ
7.1 งบดุล – งบกำไรขาดทุน (ย้อนหลัง 3 ปี) (ถ้ามี)
7.2 ประมาณการทางการเงินของโครงการ
7.3 การวิเคราะห์การลงทุนของโครงการ
7.4 งบกระแสเงินสด
7.5 การวิเคราะห์ระยะเวลาคืนทุน
7.6 การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน
7.7 การวิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันสุทธิ
7.8 การวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนของการลงทุน
8. รายละเอียดการใช้บัญชีต่าง ๆ
เป็นการให้ข้อมูลต่อผู้วิเคราะห์ของสถาบันการเงินแสดงความจริงใจ เปิดเผยข้อมูลไม่ปิดบังสามารถตรวจสอบได้
8.1 ชื่อสถาบันการเงินที่เดินบัญชีทุกแห่ง พร้อมทั้งการเคลื่อนไหวทางการบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
8.2 รายละเอียดวงเงินสินเชื่อที่มีอยู่ / เงื่อนไข / หลักประกันกับสถาบันการเงินนั้น
9. ภาคผนวก
9.1 ข้อมูลลูกค้า ประกอบด้วย
· ข้อมูลลูกค้ารายใหญ่ 5 ราย เรียงตามลำดับยอดขาย
· แผนหรือกิจการที่จะเพิ่มยอดขายกับลูกค้าแต่ละรายข้างต้น
· ลูกค้าเป้าหมาย
9.2 การวิเคราะห์คู่แข่ง ระบุคู่แข่งขันรายใหญ่ 3 ราย โดยประกอบด้วย
· ระยะเวลาที่อยู่ในตลาด
· ส่วนแบ่งตลาด
· ราคา/กลยุทธ์
· ระบุจุดแข็ง-จุดอ่อนของเราเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
9.3 การแบ่งส่วนตลาดและลูกค้าเป้าหมาย
กล่าวโดยสรุป ควรจะจัดทำในลักษณะรูปเล่มโดยเขียนตามหัวข้อที่กล่าวมาแล้ว กำหนดหัวข้อเขียน จะทำให้ง่ายต่อการเขียนโครงการขอสินเชื่อ และถ้ามีการทำแผนธุรกิจมาก่อน ก็สามารถที่จะนำข้อมูลจาก แผนธุรกิจมาใส่ได้
การวิเคราะห์สินเชื่อ
แหล่งที่มาของรายได้ของธนาคารพาณิชย์ คือ ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงินฝากกับเงินให้สินเชื่อ โดยเมื่อธนาคารรับฝากเงินมาแล้วก็จะนำเงินฝากที่ได้ไปปล่อยกู้ เงินฝากที่ธนาคารรับฝากมาไม่ว่าจะจำนวนเท่าใด เมื่อครบกำหนดเวลา ธนาคารก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยอย่างครบถ้วนให้กับลูกค้าผู้ฝากเงิน แต่ทางด้านเงินกู้ เมื่อครบกำหนดธนาคารอาจจะไม่ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าเงินกู้ก็ได้ ซึ่งจุดนี้ทำให้ธนาคารเกิดความเสี่ยงขึ้น ความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารเป็นสำคัญ เนื่องจากเกี่ยวกับความอยู่รอดของธนาคารเลยทีเดียว หากเกิดปัญหาหนี้สูญเพียงร้อยละ 10 ของเงินเครดิตที่ปล่อยก็เกินกว่าเงินของธนาคารทั้งระบบ นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีบทบาทในเรื่องเงินสดสำรองตามกฎหมาย การปล่อยเงินกู้แก่ภาคเอกชนที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด อาทิสินเชื่อสู่ชนบท และการที่ทางธนาคารต้องพิจารณาการให้เครดิตอย่างรอบคอบก็เนื่องจากว่าหากเกิดปัญหาหนี้สูญกับธนาคาร 1 ราย ธนาคารจะต้องหาหนี้ดีๆ จำนวนนับร้อยมาชดเชยผลตอบแทนที่ได้รับ จึงจะคุ้มกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น
การพิจารณาให้เครดิต
คำว่า เครดิต นั้นรวมถึงการให้กู้ยืม(LENDING) และการค้ำประกัน (GUARANTEE) ดังนั้นการให้เครดิตจึงมีความหมายกว้างกว่าการให้กู้ยืม เพราะการให้กู้ยืมนั้นผู้ให้กู้ยืมให้เงินของตนแก่ผู้กู้ทำการกู้โดยตรง แต่ก็ต้องเข้ารับความเสี่ยงในกรณีที่ธนาคารให้การค้ำประกันนั้นไม่สามารถชำระหนี้ หรือปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงไว้กับอีกบุคคลหนึ่งได้ ก่อนที่ธนาคารพาณิชย์จะตัดสินใจให้เครดิตแก่ลูกค้า ธนาคารจะพิจารณาถึงหลักที่เรียกว่า 3P ดังนี้
1. วัตถุประสงค์การขอกู้ (Purpose)
วัตถุประสงค์การขอกู้เป็นสิ่งจำเป็นที่ธนาคารจะต้องพิจารณา ทั้งนี้เพราะกิจการบางอย่าง
ธนาคารไม่สนับสนุน กล่าวคือ ธนาคารจะสนับสนุนเครดิตที่ก่อให้เกิดผล(Production) ไม่ใช่นำไป
เก็งกำไร (Speculative) นอกจากนี้วัตถุประสงค์ของลูกค้าจะทำให้ทางธนาคารรู้ว่าลูกค้ามีวิธีชำระ
เงินได้อย่างไร
2. การชำระหนี้ (Payment)
การชำระหนี้ เมื่อทราบวัตถุประสงค์แล้วทางธนาคารก็จะทราบว่าลูกค้าต้องการเงินกู้ประเภทใด ระยะสั้น หรือระยะยาว และจะมีวิธีการชำระหนี้ได้อย่างไร เช่น ถ้าเป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับหมุนเวียน ปกติลูกค้าสามารถชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น เพราะมีลักษณะเป็น Self Liquidisting Schedule แต่ถ้าเป็นเงินกู้ระยะยาวก็ต้องใช้เวลาที่ยาวนานเป็นปีในการชำระหนี้เรียกว่า Payment Schedule การทำความเข้าใจในเรื่องนี้ จะทำให้ผู้กู้สามารถสร้างความเชื่อถือให้กับธนาคารได้ เพราะธนาคารจะถือเรื่องความตั้งใจจริง และความสามารถในการชำระหนี้ได้ ในจำนวน และเวลาที่กำหนด
3. การป้องกันความเสี่ยง (Protection)
การป้องกันความเสี่ยง หลังจากที่ธนาคารพิจารณาถึงจุดประสงค์ และวิธีการชำระหนี้แล้วขั้นตอนต่อไปก็ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ความเสี่ยงที่ว่าคือความเสี่ยงที่เกิดจากการที่ธนาคารจะไม่ได้รับชำระหนี้ หรือได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนภายในระยะเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตามการป้องกันความเสี่ยงในแง่นี้ มิได้หมายถึงหลักประกันเพียงอย่างเดียวแต่จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และความสามารถในการคุ้มครองผลประโยชน์ของธนาคารเอง ในกรณีที่เกิดความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าไม่อาจชำระหนี้ได้ เช่น ถ้าลูกค้าประสบปัญหาขาดทุนลูกค้าจะหาเงินมาชำระได้เพียงใด มีกำลังความสามารถในการเพิ่มทุนเพียงใด ถ้าธนาคารมั่นใจในความสามารถของตัวลูกค้าแล้ว เรื่องหลักประกันอาจจะไม่สำคัญ แต่ถ้าลูกค้ามีความเสี่ยงสูงธนาคารก็ต้องให้ความสำคัญกับหลักประกันมาก แต่ถ้าเห็นว่าความเสี่ยงมีสูงมากก็อาจปฏิเสธการให้เครดิตไป
เงินกู้ที่มีวัตถุประสงค์อย่างไรที่ธนาคารไม่สนับสนุน
แม้ว่าในระยะหลังๆ ธนาคารพาณิชย์จะแข่งขันเสนอบริการตลอดจนสินเชื่อชนิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังคงมีเครดิตบางประเภทที่ธนาคารไม่สนับสนุน ซึ่งมีดังนี้
1. การนำเงินกู้ของธนาคารไปลงทุน
การที่ธนาคารไม่สนับสนุนเรื่องนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่าการลงทุนนั้นผู้กู้จำเป็นต้องมีเงินทุน(Capital) ของตัวเองด้วยจำนวนหนึ่ง ถ้าไม่พอจึงค่อยมาขอกู้เพิ่มเติมจากธนาคาร เพราะถ้าหากธนาคารปล่อยให้กู้เพื่อการลงทุนจนหมด เท่ากับว่าผู้กู้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยเพียงแต่พึ่งเงินจากธนาคารอย่างเดียวก็สามารถดำเนินการได้ แต่อย่างไรก็ตามธนาคารอาจพิจารณาให้เป็นกรณีพิเศษในบางกรณีเท่านั้น
2. การกู้เพื่อชำระหนี้
ธนาคารไม่สนับสนุน เนื่องจากการชำระหนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดหาเงินทุนของผู้กู้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการทำกำไร หรือเพิ่มทุน แต่ไม่ควรจะกระทำการชำระหนี้โดยการกู้ยืมอีก เพราะเท่ากับว่า เป็นการก่อหนี้ใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้เก่า แต่ถ้าธนาคารเห็นว่าผู้กู้จะเป็นลูกค้าที่ดีของธนาคารในอนาคตก็อาจจะอนุโลมให้เป็นกรณีพิเศษ
3. การกู้ยืมเงินไปจ่ายเป็นเงินปันผล
โดยหลักการแล้วไม่ควรสนับสนุน เพราะเมื่อบริษัทมีกำไรแล้วก็ควรจะจ่ายเงินปันผล แต่ก็อาจจะมีการยกเว้นให้ลูกค้าบางรายการที่แม้มีกำไร แต่ก็อยู่ในรูปทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่เงินสด ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในภายหลัง
4. การนำเงินกู้ของธนาคารไปปล่อยให้ผู้อื่นกู้ต่อ
ลูกค้าประเภทนี้จะอาศัยช่องโหว่ของความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบธนาคารพาณิชย์กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนอกระบบมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารไม่สนับสนุนอีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงด้วย
ประเด็นในการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
ก่อนที่ธนาคารจะตัดสินใจให้เครดิตแก่ผู้ขอกู้นั้น ธนาคารจะพิจารณาปัจจัยเครดิตต่อไปนี้
1. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity)
ความสามารถในการชำระหนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาให้สินเชื่อ ลูกหนี้ที่แม้
อยากจะชำระหนี้สักเพียงใด หากปราศจากซึ่งความสามารถในการชำระหนี้แล้ว ย่อมไม่เกิดการ
ชำระหนี้ ดังนั้นการให้กู้ยืม และการให้เครดิตของธนาคารจะต้องประเมินความสามารถในการชำระ
หนี้ของลูกหนี้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
1.1 ความสามารถในการชำระหนี้ของบุคคลธรรมดา การประเมินความสามารถในการ
ชำระหนี้ของบุคคลธรรมดา พิจารณาได้จากข้อมูลต่อไปนี้
รายได้ประจำ หมายถึง เงินเดือน และรายได้อื่น ความสามารถในการชำระหนี้ใน
ระยะเวลาที่ต่อเนื่องขึ้นอยู่กับเงินเดือน และรายได้ที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ และความสามารถนำ
รายได้นั้นมาใช้ส่วนหนึ่งเพื่อการชำระหน
ความสามารถในการหารายได้จะชี้ให้เห็นความแน่นอนของรายได้อันนำมาสู่การชำระ
หนี้ในอนาคต พิจารณาได้จากลักษณะของงานที่ทำ พื้นความรู้ความสามารถในการทำงาน สุขภาพ
ความมั่นคงในการทำงาน และความก้าวหน้าในการทำงาน
หนี้สินที่มีอยู่ หมายถึง ภาระผูกพันที่มีอยู่เดิม
รูปแบบของการใช้จ่าย หมายถึง ภาวะที่ผู้มีรายได้จะต้องรับผิดชอบก่อนที่จะเหลือ
รายได้เพื่อการชำระหนี้ พิจารณาได้จากฐานะการสมรส ขนาดครอบครัว และระดับการครองชีพ
เมื่อทราบรายได้ ความแน่นอนของรายได้ หนี้สินเดิม และรูปแบบของการใช้จ่ายแล้ว ส่วนที่เหลือ
จะเป็นเครื่องคุ้มครองรายจ่ายชำระหนี้แก่ธนาคาร
1.2 ความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ พิจารณาได้จาก อัตราส่วนทางการเงิน ดังนี้
- อัตราสภาพคล่อง (Liquidity Ratio)
- อัตราส่วนหนี้สิน และความคุ้มครองรายจ่ายประจำ (Dept and Converage Ratio)
- อัตราส่วนความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio)
- อัตราส่วนความเจริญเติบโต และอื่นๆ (Growth and Others)
2. ความเต็มใจชำระหนี้ และอุปนิสัย (Character)
ข้อนี้ถือว่าสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะแม้ว่าปัจจัยที่เหลือจะดี แต่ถ้าลูกค้าหรือลูกหนี้ขาดความซื่อสัตย์ ความจริงใจแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสเกิดหนี้สูญแก่ทางธนาคารมาก ปกติแล้วถ้าเป็นลูกค้ารายใหม่ธนาคารจะดูถึงชื่อเสียง ฐานะการศึกษา อุปนิสัยครอบครัว ความซื่อสัตย์ การที่จะทราบอุปนิสัยที่แท้จริงของผู้กู้ได้โดยความสำคัญอย่างใกล้ชิด ซึ่งความซื่อสัตย์เป็นหลักสำคัญของอุปนิสัย แต่ก็ไม่มีวิธีใดที่จะประกันได้ว่าความซื่อสัตย์จะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นธนาคารจึงต้องให้ความสำคัญทั้งในกรณีที่ธุรกิจที่ขอสินเชื่อนั้นมีการบริหารงานแบบเจ้าของคนเดียว หรือในกรณีการขอสินเชื่อเพื่อการบริโภค
3. ทุนที่จะนำมาลง (Capital)
ทุน หมายถึง สิ่งของทรัพย์สินเงินทองที่ผู้ประกอบการนำมาลงทุนไว้ในธุรกิจ ธุรกิจอาจดำเนินการได้โดยไม่มีการกู้ยืม ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนน้อย เป็นผลให้กำไรของกิจการน้อยตามไปด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการจึงทำการกู้ยืมตามกำลังความสามารถของตน แต่ขณะเดียวกันถ้ามีการใช้เงินกู้ยืมสูง (Leverage) ธุรกิจอาจประสบปัญหา เนื่องจากกำไรที่ธุรกิจได้รับส่วนใหญ่จะต้องนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้แก่ธนาคาร และถ้ากำไรของธุรกิจนั้นน้อยธุรกิจนั้นอาจขาดทุนปกติแล้วเงินทุน เท่ากับ มูลค่าของทรัพย์สินทั้งหมดของกิจการหักด้วยหนี้สินทั้งหมด ถ้ากิจการใดมีหนี้สินมากกว่าเงินทุนที่ลงไว้ หมายความว่า เจ้าหนี้มีอัตราเสี่ยงสูงเพราะเจ้าหนี้ได้ลงทุนมากกว่าเจ้าของกิจการ ดังนั้นเงินทุนของผู้ขอกู้จึงเปรียบเสมือนเกราะให้ความปลอดภัย (Margin of safety) กับธนาคาร ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารจะยอมให้กิจการกู้ที่อัตราส่วนของหนี้ต่อเงินทุนไม่เกิน3 เท่า
4. หลักประกัน (Collateral)
โดยปกติก่อนที่ธนาคารจะอนุมัติเงินให้กับลูกค้า ธนาคารมักจะให้ลูกค้าผู้ขอกู้เงินวางหลักทรัพย์เป็นประกันไว้กับธนาคาร ทั้งนี้เพื่อชดเชยกับจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจนในด้านความเสี่ยง เช่น ความสามารถของผู้กู้ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลักประกันไม่อาจที่จะมาชดเชยกับจุดอ่อนทางด้านความซื่อสัตย์ เพราะถ้าหากผู้ขอกู้ขาดความซื่อสัตย์แล้ว ย่อมหมายถึงความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงมาก
โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเข้าใจว่าการกู้เงินจากธนาคารต้องมีที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้างมาค้ำ
ประกันแต่ความจริงแล้วยังมีสิ่งอื่นๆ ที่ใช้ค้ำประกันได้ ดังนี้
4.1 การใช้บุคคลค้ำประกัน (Personal Guarantee) บุคคลที่ค้ำประกันต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ฐานะดี หรือคนที่ธนาคารรู้จัก หรือคนที่ธนาคารยอมรับให้เครดิต
4.2 การใช้เงินฝากประจำค้ำประกัน (Fixed deposit) โดยการมอบอำนาจให้กับธนาคารมีสิทธิ์หักเงินฝากประจำชำระหนี้ การขอให้กู้ในลักษณะนี้มักเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำกว่าอัตราปกติโดยธนาคารมักจะใช้วิธีบวกอัตราดอกเบี้ยเหนืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำในขณะนั้นขึ้นอีกร้อยละ 3-4 จุดประสงค์ในการขอกู้โดยใช้เงินฝากค้ำประกันนี้ผู้ขอกู้มักจะมาขอกู้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นในรูปของการเบิกเงินเกินบัญชี
4.3 การกู้โดยการโอนสิทธิการเช่า ในบางกรณีผู้กู้ไม่มีหลักทรัพย์ของตนเอง แต่ได้ทำสัญญาเช่าสถานที่เพื่อเป็นที่ประกอบการเป็นสัญญาระยะยาว ธนาคารก็อาจนับเป็นหลักทรัพย์ได้
4.4 การให้กู้โดยมีสินค้าเป็นหลักประกัน (Stock Financing) โดยธนาคารจะพิจารณาเลือกเอาสินค้าที่มีคุณภาพแบบเดียวกัน (Homogeneous) เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบ และควบคุมผู้ขอก็จะต้องทำประกันภัยสินค้าที่จำนำไว้กับธนาคาร ตลอดจนสลักหลังกรมธรรม์มอบให้กับ
ธนาคารเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เมื่อเกิดความเสียหาย
5 ภาวการณ์ (Condition)
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อการบริโภคสินค้าวิธีการจำหน่าย ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลในการควบคุม ยกเลิก การส่งเสริมการเพิ่มภาษี เพิ่มกฎข้อบังคับ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าหลักการวิเคราะห์สินเชื่อ
หลัก 5C
1. Character คือ อุปนิสัยของลูกค้า เป็นการวิเคราะห์ถึงอุปนิสัยของลูกค้าว่ามีความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบหรือไม่ ความตรงต่อเวลาในการชำระหนี้ และความสม่ำเสมอในการชำระหนี้ นโยบาย และวิธีการชำระหนี้ของธุรกิจนั้น ซึ่งผู้อนุมัติสินเชื่อสามารถอาศัยประสบการณ์ที่บอกให้ทราบถึงปัจจัยด้านคุณธรรมนี้ และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์การขายสินเชื่อ
2. Capacity คือ ความสามารถในการชำระหนี้ เป็นการใช้วิจารณญาณในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ โดยอาศัยข้อมูลจากการติดต่อกับลูกค้าในอดีต ประกอบกับสภาพทั่วๆ ไปของโรงงาน เครื่องมืออุปกรณ์ ทำเลที่ตั้งของธุรกิจ หรือโรงงานว่าอยู่ในทำเลที่เหมาะสมหรือไม่ มีการกระจายคลังสินค้าไปได้ทั่วถึงแค่ไหน นอกจากนั้นก็พิจารณาถึงรายได้ของธุรกิจว่าได้มาจากที่ใด รวมทั้งดูถึงค่าใช้จ่ายที่ใช้ในกิจการ
3. Capital คือ ทุนของลูกค้า เป็นการวิเคราะห์ฐานะทางการเงินทั่วๆ ไป โดยวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน โดยเฉพาะส่วนทุนที่สามารถสัมผัสได้ ได้แก่
3.1 ทรัพย์ที่มีตัวตน และไม่มีตัวตน เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องจักร เป็นต้น
3.2 การตอบแทนของเงินทุน
3.3 สินทรัพย์ใดๆ ที่สามารถนำไปค้ำประกันหนี้สินได้
4. Collateral คือ หลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งหมายถึง ทรัพย์สิน หรือตัวบุคคลที่ลูกค้านำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการซื้อสินเชื่อ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงภัยทางการเงินในกรณีที่ลูกหนี้มีผลการดำเนินงาน และฐานะการเงินในอนาคตเปลี่ยนแปลงในทางที่ไม่ดี ซึ่งบุคคลที่นำมาค้ำประกันนั้นต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเชื่อถือ และมีทรัพย์สินส่วนตัวในปริมาณเพียงพอที่สามารถชำระหนี้ได้ ส่วนทรัพย์สินที่นำมาค้ำประกันมักจะเป็นทรัพย์สินถาวรเช่น ที่ดิน เครื่องจักร อาคาร ยานพาหนะ และจะต้องเป็นทรัพย์สินที่ซื้อได้ง่าย ขายคล่อง ราคาไม่เปลี่ยนแปลงง่าย
5. Condition คือ สภาพทั่วๆ ไป หมายถึง ผลกระทบจากเศรษฐกิจโดยทั่วๆ ไป ได้แก่นโยบายของรัฐบาล สภาพทางการเมือง สภาพดินฟ้าอากาศ สภาวะทางด้านแรงงาน สภาวะทางด้านการเงิน และการคลังที่มีผลต่อการชำระหนี้ของลูกค้า
หลัก 5P
1. Policy คือ นโยบายของกิจการ เป็นการดูว่ากิจการนี้มีนโยบายทำการผลิตเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ หรือจำหน่ายภายในประเทศ นโยบายการขาย นโยบายการบริหารดีหรือไม่ นโยบายการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานหรือไม่เพียงใด นโยบายทางด้านราคา ดูว่าจำหน่ายในราคาที่ยุติธรรมหรือไม่
2. Price คือ ราคา เป็นการพิจารณาราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ ของกิจการว่ามีราคาสูงหรือต่ำเพียงใด โดยจะทำการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และเป็นการพิจารณาว่าต้นทุนในการผลิตสินค้าของกิจการว่าสูงหรือต่ำกว่าหรือไม่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดราคาจำหน่ายสินค้าของกิจการ
3. Place คือ สถานที่ หรือช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นการพิจารณาถึงเขตพื้นที่ที่เป็นตัวแทนในการจัดจำหน่ายของกิจการ เช่น จำหน่ายเฉพาะภาคใดภาคหนึ่ง หรือจำหน่ายทั่วประเทศเป็นต้น มีการจัดจำหน่ายโดยวิธีใดบ้าง เช่น จำหน่ายโดยตรง หรือผ่านตัวแทน สถานที่ตั้งของกิจการ หรือโรงงานจะต้องคำนึงถึงความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เช่น ความใกล้ไกลแหล่งวัตถุดิบ ความใกล้ไกลตลาด เป็นต้น สถานที่ตั้งมีสาธารณูปโภคที่ดีหรือไม่ เช่น ไฟฟ้าประปา โทรศัพท์ การคมนาคมสะดวกหรือไม่
4. Production คือ การผลิต เป็นการพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิต ว่ามีลักษณะอย่างไร มีคุณภาพ และมาตรฐานที่ดีหรือไม่ ตรงกับความต้องการของตลาดหรือไม่ กระบวนการผลิตเป็นอย่างไร ใช้เทคนิคการผลิตอย่างไร กำลังการผลิตของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเต็มประสิทธิภาพหรือไม่ และผลิตได้เท่าไร ผลิตตามฤดูกาล หรือผลิตได้ตลอดทั้งปี ผลิตได้สม่ำเสมอหรือไม่ ถ้าต้องการผลิตเพิ่มขึ้นสามารถขยายกำลังการผลิตได้หรือไม่
5. Promotion คือ การส่งเสริมการตลาด เป็นการพิจารณาว่ากิจกรรมใดบ้างที่เป็นการ
ส่งเสริมการตลาด เช่น การโฆษณา การแจกของแถม การแจกสินค้าตัวอย่าง เป็นต้น ซึ่งจะสามารถ
ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาด
ถาม – ตอบ
ความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อ
1. สินเชื่อหมายความว่า อย่างไร
ตอบ สินเชื่อ หมายถึง อำนาจในการเข้าถึงการใช้สินค้าและบริการ โดยสัญญาว่าจะชดใช้คืนในอนาคต โดยสินเชื่ออาจอยู่ในรูปของสินค้าและบริการ หรือในรูปของเงินก็ได้ เนื่องจากในทางเศรษฐศาสตร์มองว่าหน่วยเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจนั้นอาจมีลักษณะการใช้ทรัพยากรที่ไม่สมดุลกัน บางหน่วยเศรษฐกิจอาจมีความต้องการใช้สินค้าและบริการมากกว่าทรัพยากรที่ตนมีอยู่ในปัจจุบัน ขณะที่บางหน่วยเศรษฐกิจอาจมีทรัพยากรเหลือใช้เกินความต้องการ หากมีการโอนทรัพยากรส่วนที่เหลือใช้ไปให้ผู้ที่มีความต้องการใช้ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ ทางกฎหมายเรียกหน่วยเศรษฐกิจที่เป็นผู้รับทรัพยากรนั้นว่าลูกหนี้ และเรียกหน่วยเศรษฐกิจที่เป็นผู้ให้ยืมทรัพยากรนั้นว่าเป็นเจ้าหนี้หรือผู้ให้สินเชื่อ
2. สินเชื่อมีส่วนเกี่ยวข้องในด้านธุรกิจ อย่างไร
ตอบ สินเชื่อมีส่วนทำให้อุปสงค์มวลรวมในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ สมมติกรณีเศรษฐกิจแบบปิด หากปัจจัยการผลิตได้รับรายได้จากการผลิต ส่วนหนึ่งนำไปใช้จ่ายเพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เกิดการผลิตและรายได้แก่ปัจจัยการผลิตต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่เงินอีกส่วนหนึ่งกลายเป็นเงินออมซึ่งเป็นส่วนรั่วไหลออกจากระบบ เนื่องจากไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่าย หากเป็นเช่นนี้ในที่สุด รายได้หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมก็จะลดลง เพราะมีแต่ส่วนรั่วไหลออกจากเศรษฐกิจ ภาคสินเชื่อจึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยอัดฉีดเงินเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบผ่านตลาดสินเชื่อ ซึ่งเป็นการนำเงินออมกลับออกมาใช้จ่ายใหม่ โดยอาจอยู่ในรูปของการให้กู้แก่รัฐบาลผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือการให้สินเชื่อแก่ประชาชน
เรื่องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากสมมติให้ปัจจัยอื่นคงที่ สินเชื่อในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มอุปสงค์มวลรวม ทำให้เกิดแรงกดดันต่อราคาเพิ่มขึ้นหรือเกิดเงินเฟ้อได้ แต่หากเป็นการให้สินเชื่อเพื่อนำไปลงทุนในการผลิตซึ่งมีผลิตภาพ (Productivity) สูง อาจทำให้อุปทานมวลรวมเกิดการขยายตัวสอดรับกับอุปสงค์มวลรวมที่เพิ่มขึ้นเป็นผลให้ภาวะเงินเฟ้อไม่เกิดขึ้น หรืออาจถึงขั้นเกิดภาวะเงินฝืดก็เป็นได้
3. เราจะแบ่งสินเชื่อออกได้เป็นกี่ประเภท
ตอบ 1. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามระยะเวลา
2. การแบ่งประเภทของสินเชื่อตามวัตถุประสงค์
3. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามผู้ขอรับสินเชื่อ
4. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามผู้ให้สินเชื่อ
5. การแบ่งประเภทสินเชื่อตามหลักประกัน
4. จงอธิบายการแบ่งประเภทสินเชื่อตามหลักประกัน
ตอบ 1 สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สินเชื่อประเภทนี้อาศัยความน่าเชื่อถือ, เที่ยงตรง และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้เป็นเครื่องพิจารณา สินเชื่อประเภทนี้จึงมีความเสี่ยงสูงเพราะไม่มีหลักประกันให้แก่ผู้ให้กู้ในกรณีที่เกิดการผิดสัญญาขึ้น
2 สินเชื่อที่มีหลักประกัน สินเชื่อประเภทนี้มีความเสียงต่ำกว่าเนื่องจากผู้กู้มีหลักประกันแก่ผู้ให้กู้เพื่อชดใช้ความเสียหายหากเกิดการผิดสัญญาขึ้น โดยหลักประกันดังกล่าวอาจอยู่ในรูปของอสังหาริมทรัพย์ เช่น การจำนองที่ดิน, สังหาริมทรัพย์ เช่น พันธบัตร, ทองคำ หรืออยู่ในรูปของการค้ำประกันจากบุคคลหรือสถาบันการเงินก็ได้
5. ในการขอสินเชื่อสถาบันการเงินจะแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นกลุ่มใดบ้าง
ตอบ ในการเขียนโครงการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินนั้น หลักการเขียนส่วนใหญ่จะเหมือนกัน แต่จะมี รายละเอียดการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกันตามประเภทธุรกิจ ซึ่งสถาบันการเงินต่าง ๆ มักจะแบ่งกลุ่มลูกค้า ออกตามประเภทของธุรกิจที่ลูกค้าประกอบกิจการอยู่ ส่วนใหญ่จะแบ่งออกดังนี้
1. ประเภทธุรกิจอุตสาหกรรม หมายถึง การดำเนินกิจการที่เปลี่ยนสภาพวัตถุดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์ ด้วยมือ หรือเครื่องจักร หรือเคมีภัณฑ์ ตลอดจนการดำเนินงานเกี่ยวกับการประกอบชิ้นส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น ทั้งนี้รวมถึงธุรกิจอุตสาหกรรมเหมืองแร่ด้วย
2. ประเภทธุรกิจก่อสร้างและขนส่ง จะประกอบด้วย ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจจัดสรรที่อยู่อาศัย รวมถึงธุรกิจที่มีการประมูลทางสร้างถนน เขื่อน เป็นต้น
3. ประเภทธุรกิจสั่งสินค้าเข้า หมายถึง การประกอบกิจการหลักที่เป็นการสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในประเทศ รวมทั้งการเป็นตัวแทนและนายหน้านำสินค้าเข้า อาทิเช่น กิจการนำเข้าเคมีภัณฑ์กิจการนำเข้าอาวุธสงคราม จำหน่ายให้หน่วยราชการ เป็นต้น
4. ประเภทธุรกิจส่งสินค้าออก หมายถึง การประกอบกิจการหลักเพื่อการส่งสินค้าออกไปจำหน่าย ต่างประเทศ รวมทั้งเป็นตัวแทน และนายหน้าส่งสินค้าออกไปจำหน่ายต่างประเทศ อาทิเช่น บริษัทเทรดดิ้งคอมปานี กิจการส่งออกพืชไร่ เป็นต้น
5. ประเภทธุรกิจการเกษตร หมายถึงการประกอบกิจการเกี่ยวกับการเกษตร ทั้งการประมง กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์ ทั้งในรูปนิติบุคคลและกลุ่มเกษตรกร
6. เกษตรกร และธุรกิจการเกษตร ต่างกันอย่างไร
ตอบ 1. เกษตรกร หมายถึง ผู้ประกอบอาชีพทางการเกษตร คือ กสิกรรม ประมง และการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ เกษตรกร กลุ่มเกษตรสหกรณ์ ที่มีสมาชิกเป็นเกษตรกร และรวมทั้งบุคคลหรือนิติบุคคล
2. ธุรกิจการเกษตร หมายถึง ผู้ประกอบกิจการเกษตรในส่วนที่เป็นปัจจัยที่ใช้ในการผลิตการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร
ปัจจัยที่ใช้ในการผลิตทางการเกษตร หมายถึง ธุรกิจที่ทำการผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อเป็นปัจจัย
ทั้งทางตรงและใกล้ชิดต่อการผลิตทางการเกษตร อาทิเช่น การผลิตรถไถนา การผลิตปุ๋ย การรับจ้างเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตร ฯลฯ
อุตสาหกรรมเกษตร หมายถึง อุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตเบื้องต้นที่เกิดจากผลิตผลทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบในการผลิต เป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด เช่น โรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล โรงงานทำวุ้นเส้น ฯลฯ
7. ก่อนที่ธนาคารพาณิชย์จะตัดสินใจให้เครดิตแก่ลูกค้า ธนาคารจะพิจารณาหลักอะไรบ้าง
ตอบ 1. วัตถุประสงค์การขอกู้ (Purpose)
วัตถุประสงค์การขอกู้เป็นสิ่งจำเป็นที่ธนาคารจะต้องพิจารณา ทั้งนี้เพราะกิจการบางอย่าง
ธนาคารไม่สนับสนุน กล่าวคือ ธนาคารจะสนับสนุนเครดิตที่ก่อให้เกิดผล(Production) ไม่ใช่นำไป
เก็งกำไร (Speculative) นอกจากนี้วัตถุประสงค์ของลูกค้าจะทำให้ทางธนาคารรู้ว่าลูกค้ามีวิธีชำระ
เงินได้อย่างไร
2. การชำระหนี้ (Payment)
การชำระหนี้ เมื่อทราบวัตถุประสงค์แล้วทางธนาคารก็จะทราบว่าลูกค้าต้องการเงินกู้ประเภทใด ระยะสั้น หรือระยะยาว และจะมีวิธีการชำระหนี้ได้อย่างไร เช่น ถ้าเป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับหมุนเวียน ปกติลูกค้าสามารถชำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น เพราะมีลักษณะเป็น Self Liquidisting Schedule แต่ถ้าเป็นเงินกู้ระยะยาวก็ต้องใช้เวลาที่ยาวนานเป็นปีในการชำระหนี้เรียกว่า Payment Schedule การทำความเข้าใจในเรื่องนี้ จะทำให้ผู้กู้สามารถสร้างความเชื่อถือให้กับธนาคารได้ เพราะธนาคารจะถือเรื่องความตั้งใจจริง และความสามารถในการชำระหนี้ได้ ในจำนวน และเวลาที่กำหนด
3. การป้องกันความเสี่ยง (Protection)
การป้องกันความเสี่ยง หลังจากที่ธนาคารพิจารณาถึงจุดประสงค์ และวิธีการชำระหนี้แล้วขั้นตอนต่อไปก็ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ความเสี่ยงที่ว่าคือความเสี่ยงที่เกิดจากการที่ธนาคารจะไม่ได้รับชำระหนี้ หรือได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนภายในระยะเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตามการป้องกันความเสี่ยงในแง่นี้ มิได้หมายถึงหลักประกันเพียงอย่างเดียวแต่จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และความสามารถในการคุ้มครองผลประโยชน์ของธนาคารเอง ในกรณีที่เกิดความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าไม่อาจชำระหนี้ได้ เช่น ถ้าลูกค้าประสบปัญหาขาดทุนลูกค้าจะหาเงินมาชำระได้เพียงใด มีกำลังความสามารถในการเพิ่มทุนเพียงใด ถ้าธนาคารมั่นใจในความสามารถของตัวลูกค้าแล้ว เรื่องหลักประกันอาจจะไม่สำคัญ แต่ถ้าลูกค้ามีความเสี่ยงสูงธนาคารก็ต้องให้ความสำคัญกับหลักประกันมาก แต่ถ้าเห็นว่าความเสี่ยงมีสูงมากก็อาจปฏิเสธการให้เครดิตไป
8. เงินกู้ที่มีวัตถุประสงค์อย่างไรที่ธนาคารไม่สนับสนุนให้กู้
ตอบ 1. การนำเงินกู้ของธนาคารไปลงทุน
การที่ธนาคารไม่สนับสนุนเรื่องนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่าการลงทุนนั้นผู้กู้จำเป็นต้องมีเงินทุน(Capital) ของตัวเองด้วยจำนวนหนึ่ง ถ้าไม่พอจึงค่อยมาขอกู้เพิ่มเติมจากธนาคาร เพราะถ้าหากธนาคารปล่อยให้กู้เพื่อการลงทุนจนหมด เท่ากับว่าผู้กู้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยเพียงแต่พึ่งเงินจากธนาคารอย่างเดียวก็สามารถดำเนินการได้ แต่อย่างไรก็ตามธนาคารอาจพิจารณาให้เป็นกรณีพิเศษในบางกรณีเท่านั้น
2. การกู้เพื่อชำระหนี้
ธนาคารไม่สนับสนุน เนื่องจากการชำระหนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดหาเงินทุนของผู้กู้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการทำกำไร หรือเพิ่มทุน แต่ไม่ควรจะกระทำการชำระหนี้โดยการกู้ยืมอีก เพราะเท่ากับว่า เป็นการก่อหนี้ใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้เก่า แต่ถ้าธนาคารเห็นว่าผู้กู้จะเป็นลูกค้าที่ดีของธนาคารในอนาคตก็อาจจะอนุโลมให้เป็นกรณีพิเศษ
3. การกู้ยืมเงินไปจ่ายเป็นเงินปันผล
โดยหลักการแล้วไม่ควรสนับสนุน เพราะเมื่อบริษัทมีกำไรแล้วก็ควรจะจ่ายเงินปันผล แต่ก็อาจจะมีการยกเว้นให้ลูกค้าบางรายการที่แม้มีกำไร แต่ก็อยู่ในรูปทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่เงินสด ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในภายหลัง
4. การนำเงินกู้ของธนาคารไปปล่อยให้ผู้อื่นกู้ต่อ
ลูกค้าประเภทนี้จะอาศัยช่องโหว่ของความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบธนาคารพาณิชย์กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนอกระบบมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารไม่สนับสนุนอีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงด้วย
9. ในการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อของธนาคารจะพิจารณาจากหลักอะไร
ตอบ 1. ความสามารถในการชำระหนี้ (Capacity)
ความสามารถในการชำระหนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาให้สินเชื่อ ลูกหนี้ที่แม้
อยากจะชำระหนี้สักเพียงใด หากปราศจากซึ่งความสามารถในการชำระหนี้แล้ว ย่อมไม่เกิดการ
ชำระหนี้ ดังนั้นการให้กู้ยืม และการให้เครดิตของธนาคารจะต้องประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นประเภทต่างๆ
2. ความเต็มใจชำระหนี้ และอุปนิสัย (Character)
ข้อนี้ถือว่าสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะแม้ว่าปัจจัยที่เหลือจะดี แต่ถ้าลูกค้าหรือลูกหนี้ขาดความซื่อสัตย์ ความจริงใจแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสเกิดหนี้สูญแก่ทางธนาคารมาก ปกติแล้วถ้าเป็นลูกค้ารายใหม่ธนาคารจะดูถึงชื่อเสียง ฐานะการศึกษา อุปนิสัยครอบครัว ความซื่อสัตย์ การที่จะทราบอุปนิสัยที่แท้จริงของผู้กู้ได้โดยความสำคัญอย่างใกล้ชิด ซึ่งความซื่อสัตย์เป็นหลักสำคัญของอุปนิสัย แต่ก็ไม่มีวิธีใดที่จะประกันได้ว่าความซื่อสัตย์จะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นธนาคารจึงต้องให้ความสำคัญทั้งในกรณีที่ธุรกิจที่ขอสินเชื่อนั้นมีการบริหารงานแบบเจ้าของคนเดียว หรือในกรณีการขอสินเชื่อเพื่อการบริโภค
3. ทุนที่จะนำมาลง (Capital)
ทุน หมายถึง สิ่งของทรัพย์สินเงินทองที่ผู้ประกอบการนำมาลงทุนไว้ในธุรกิจ ธุรกิจอาจดำเนินการได้โดยไม่มีการกู้ยืม ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนน้อย เป็นผลให้กำไรของกิจการน้อยตามไปด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการจึงทำการกู้ยืมตามกำลังความสามารถของตน แต่ขณะเดียวกันถ้ามีการใช้เงินกู้ยืมสูง (Leverage) ธุรกิจอาจประสบปัญหา เนื่องจากกำไรที่ธุรกิจได้รับส่วนใหญ่จะต้องนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้แก่ธนาคาร และถ้ากำไรของธุรกิจนั้นน้อยธุรกิจนั้นอาจขาดทุนปกติแล้วเงินทุน เท่ากับ มูลค่าของทรัพย์สินทั้งหมดของกิจการหักด้วยหนี้สินทั้งหมด ถ้ากิจการใดมีหนี้สินมากกว่าเงินทุนที่ลงไว้ หมายความว่า เจ้าหนี้มีอัตราเสี่ยงสูงเพราะเจ้าหนี้ได้ลงทุนมากกว่าเจ้าของกิจการ ดังนั้นเงินทุนของผู้ขอกู้จึงเปรียบเสมือนเกราะให้ความปลอดภัย (Margin of safety) กับธนาคาร ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารจะยอมให้กิจการกู้ที่อัตราส่วนของหนี้ต่อเงินทุนไม่เกิน3 เท่า
4. หลักประกัน (Collateral)
โดยปกติก่อนที่ธนาคารจะอนุมัติเงินให้กับลูกค้า ธนาคารมักจะให้ลูกค้าผู้ขอกู้เงินวางหลักทรัพย์เป็นประกันไว้กับธนาคาร ทั้งนี้เพื่อชดเชยกับจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจนในด้านความเสี่ยง เช่น ความสามารถของผู้กู้ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อหนี้สูญที่อาจเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลักประกันไม่อาจที่จะมาชดเชยกับจุดอ่อนทางด้านความซื่อสัตย์ เพราะถ้าหากผู้ขอกู้ขาดความซื่อสัตย์แล้ว ย่อมหมายถึงความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงมาก
10. หลัก 5P คืออะไร
ตอบ 1. Policy คือ นโยบายของกิจการ เป็นการดูว่ากิจการนี้มีนโยบายทำการผลิตเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ หรือจำหน่ายภายในประเทศ นโยบายการขาย นโยบายการบริหารดีหรือไม่ นโยบายการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานหรือไม่เพียงใด นโยบายทางด้านราคา ดูว่าจำหน่ายในราคาที่ยุติธรรมหรือไม่
2. Price คือ ราคา เป็นการพิจารณาราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ ของกิจการว่ามีราคาสูง
หรือต่ำเพียงใด โดยจะทำการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง และเป็นการพิจารณาว่าต้นทุนในการผลิตสินค้าของกิจการว่าสูงหรือต่ำกว่าหรือไม่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดราคาจำหน่ายสินค้าของกิจการ
3. Place คือ สถานที่ หรือช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นการพิจารณาถึงเขตพื้นที่ที่เป็นตัวแทนในการจัดจำหน่ายของกิจการ เช่น จำหน่ายเฉพาะภาคใดภาคหนึ่ง หรือจำหน่ายทั่วประเทศเป็นต้น มีการจัดจำหน่ายโดยวิธีใดบ้าง เช่น จำหน่ายโดยตรง หรือผ่านตัวแทน สถานที่ตั้งของกิจการ หรือโรงงานจะต้องคำนึงถึงความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ เช่น ความใกล้ไกลแหล่งวัตถุดิบ ความใกล้ไกลตลาด เป็นต้น สถานที่ตั้งมีสาธารณูปโภคที่ดีหรือไม่ เช่น ไฟฟ้าประปา โทรศัพท์ การคมนาคมสะดวกหรือไม่
4. Production คือ การผลิต เป็นการพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิต ว่ามีลักษณะอย่างไร มีคุณภาพ และมาตรฐานที่ดีหรือไม่ ตรงกับความต้องการของตลาดหรือไม่ กระบวนการผลิตเป็นอย่างไร ใช้เทคนิคการผลิตอย่างไร กำลังการผลิตของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตเต็มประสิทธิภาพหรือไม่ และผลิตได้เท่าไร ผลิตตามฤดูกาล หรือผลิตได้ตลอดทั้งปี ผลิตได้สม่ำเสมอหรือไม่ ถ้าต้องการผลิตเพิ่มขึ้นสามารถขยายกำลังการผลิตได้หรือไม่
5. Promotion คือ การส่งเสริมการตลาด เป็นการพิจารณาว่ากิจกรรมใดบ้างที่เป็นการ
ส่งเสริมการตลาด เช่น การโฆษณา การแจกของแถม การแจกสินค้าตัวอย่าง เป็นต้น ซึ่งจะสามารถ
ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาด